อลาสก้า (Alaska) ดินแดนของธารน้ำแข็งแห่งธรรมชาติ

by thiaopaithua
0 comment

อลาสก้า

อลาสก้า (Alaska) ที่มีชื่อเสียงด้านธารน้ำแข็ง แสงเหนือ และธรรมชาติ ทั้งหมดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ ที่รอต้นรับนักท่องเที่ยวให้ไปเยือน บทความนี้ได้รวบรวม 10 สถานที่เที่ยวอลาสก้า (Alaska) จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย เที่ยวไปทั่ว

อลาสก้า (Alaska) ดินแดนแห่งภูเขาและธารน้ำแข็ง

อลาสก้า (Alaska) ดินแดนแห่งภูเขาและธารน้ำแข็งที่มีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์มากมาย มีฤดูร้อน ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูหนาวที่ยาวนานมากที่สุด แต่ละฤดูก็จะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น พายเรือชมธรรมชาติสีเขียวและดอกไม้หลากสีที่เบ่งบานในฤดูร้อน ชมใบไม้ผลัดสีเป็นสีแดง เหลือง ส้ม ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีคือการตามล่าแสงเหนือ ในช่วงฤดูหนาวนั่งรถลากเลื่อนลุยหิมะ ทุกฤดูต่างมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป มาดูกันว่ามีสถานที่ไหนบ้างที่ไม่ควรพลาด

1. ธารน้ำแข็ง Exit Glacier

เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ในอลาสก้า (Alaska) อยู่ในอุทยานแห่งชาติเคไนฟยอร์ด (Kenai Fjord National Park) เมื่อเดินเข้าไปแล้วทุกคนจะได้พบกับทุ่งน้ำแข็งอันแสนกว้างใหญ่ที่ขั้นระหว่างขุนเขาหลายลูก ไม่ว่าจะไปเยือนในฤดูไหน ทุ่งน้ำแข็งแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ และแผ่ไอความเย็นมาจนถึงผู้คนที่ไปเยี่ยมเยียน

2. อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ (Glacier Bay National Park)

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอลาสก้า (Alaska) ชมธารน้ำแข็งยักษ์ขนาด 3 ล้านเอเคอร์ ที่เกิดจากการทับถมของหิมะมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ตั้งแต่ยุค The Little Ice Age และขยายอาณาเขตเรื่อยมาจนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 18 และยังคงความยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน สามารถนั่งเรือสำราญที่จะได้สัมผัสบรรยากาศของธารน้ำแข็งได้อย่างใกล้ชิด และบางครั้งอาจจะเห็นวาฬเพชฌฆาตขึ้นมาโลดแล่นอีกด้วย

3. อุทยานแห่งชาติเดนาลี Denali National Park and Preserve

ที่เต็มไปด้วยท่องไปในทุ่งหญ้าและผืนป่าอันกว้างใหญ่ของอลาสก้า (Alaska) โดยเฉพาะป่าสนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ เป็นที่ตั้งของ ยอดเขาเดนาลี (Denali) หรือยอดเขา McKinley (Mount McKinley) ยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ด้วยความสูงถึง 6,190 เมตร แห่งนี้จะต้องเดินทางด้วยบัสของอุทยานฯ เท่านั้น ระหว่างทางเราก็จะได้เห็นวิถีของสัตว์ต่าง ๆ 

4. อุทยานแห่งชาติ Wrangell-St.Elias National Park and Preserve

เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในอลาสก้า (Alaska) และเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาถึง 16 แห่ง เต็มไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งภูเขา ทะเลสาบ และธารน้ำแข็งที่ใหญ่ธารน้ำแข็งฮับบาร์ด (Hubbard Glacier) 

5. เมืองซีวอร์ด (Seward)

เมืองท่าเก่าแก่ เงียบสงบ มีขนาดไม่ใหญ่ แต่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม

6. เมืองแฟร์แบงค์ส (Fairbanks) 

เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอลาสก้า (Alaska) มีประชากรกว่า 100,000 คน และขึ้นชื่อเรื่องการไปตามล่าหาแสงเหนือ และสนุกสนานไปกับการนั่งรถลากเลื่อนโดยสุนัขในช่วงหน้าหนาว

7. สแก็กเวย์ (Skagway)

เมืองเล็กน่ารัก เต็มไปด้วยบ้านเรือนเก่าแก่สีสันสดใสที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้ สมัยก่อนเคยรุ่งเรืองจากการขุดทอง แต่หลังจากหมดยุคทอง ผู้คนก็เริ่มแยกย้ายออกไป และกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาตลอดเวลา สามารถนั่งรถลากเลื่อนสุนัขและนั่งรถไฟสาย White Pass & Yukon Route เส้นทางรถไฟเก่าแก่ชมทิวทัศน์ธรรมชาติตลอดเส้นทาง

8. Totem Bight State and Historic Park

ชมศิลปะและวัฒนธรรมดั้งเดิมของอลาสก้า (Alaska) เสาโทเทม (Totem Pole) ศิลปะของชนพื้นเมือง ซึ่งได้มีการเชิญช่างฝีมือมาแกะสลักเสาโทเทมเพิ่มเพื่ออนุรักษ์ศิลปะของชนเผ่าพื้นเมืองสืบต่อไป

9. อุโมงค์น้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Ice Cave)

เป็นส่วนหนึ่งของธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Glacier) มาเยือนชมความมหัศจรรย์ของผลึกน้ำแข็งที่ส่องแสงเป็นประกายสีฟ้างดสวยงาม และมีอายุยาวนานถึง 1,200 ปี

10. เทรซี่ อาร์ม ฟยอร์ด (Tracy Arm Fjord)

เป็นผืนน้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งจนเกิดเป็นรอยเว้าแหว่งตรงหุบเขา เมื่อน้ำแข็งละลายก็หลอมรวมเป็นทะเลสาบขนาดกลาง ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ อลาสก้า (Alaska) ในช่วงฤดูร้อนเราจะได้เห็นสายน้ำไหลและยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและสัตว์บกมากมายหลากหลายชนิด

สนใจติดตามการทำนายฝันใน thaiastrology

You may also like

Leave a Comment